แน่นอนว่าในยุคเศรษฐกิจที่ดูเหมือนยังมีขึ้น มีลง เช่นนี้ กลุ่มนักลงทุนที่หวังอยากแสวงหากำไรจากอสังหาฯ ต่างจำเป็นต้องศึกษาสภาพตลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมไปถึงอัตราผลตอบแทนอย่าง Yield อันเปรียบเสมือนเป็นหัวใจหลักสำคัญที่ทำให้ได้กำไรอย่างที่หวัง โดยไม่ต้องแบกรับภาระที่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต
Yield คืออะไร สำคัญไฉนต่อการลงทุน
Yield (ยิลด์) ในที่นี้หมายถึง ผลตอบแทนในการลงทุนปล่อยเช่าคอนโด ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญในการลงทุนอสังหาฯ รวมทั้งเปรียบเสมือนเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดราคาเช่าสอดคล้องกับสภาพตลาดและทำเลที่ตั้งของโครงการ ทั้งนี้คำจำกัดความของ Yield ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า
เกิดขึ้นจากการคิดคำนวณต้นทุนราคาห้องชุดที่ซื้อและค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับจากการปล่อยเช่าคอนโด ซึ่งทำให้นักลงทุนรู้ถึงจำนวนผลตอบแทนที่ได้ตลอดปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Gross Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น
- Net Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ
- Cash on Cash Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าจากเงินสดในรอบปี
2. Yield Guarantee คือ การการันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าโดยผู้ประกอบการ
ซึ่งเปรียบเสมือนกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่งที่ทางผู้ประกอบการได้กำหนดผลประโยชน์เป็นตัวเลขและเวลาที่ชัดเจน เพื่อคืนให้กับผู้ซื้อหรือนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการถือครองห้องชุด ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจต่อการลงทุนโครงการดังกล่าว ทั้งนี้รูปแบบของการการันตีผลตอบแทนนี้ มักพบในทำเลที่มีปริมาณความต้องการเช่ามากกว่าซื้ออยู่เอง ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยว หรือแหล่งงานขนาดใหญ่ที่มีชาวต่างชาติกระจุกอยู่เป็นจำนวนมาก
เผยเคล็ด (ไม่) ลับ วิธีคิดคำนวณ Yield
วิธีคิด Yield หรือ % ของ Yield โดยทั่วไป มีสูตรดังนี้ (รายได้สุทธิที่คาดว่าจะได้รับตลอดปี / ต้นทุน) X 100 = อัตราผลตอบแทนสุทธิ (%) แต่ก่อนที่จะลงมือคิดคำนวณผลตอบแทน (Yield) ที่เหล่านักลงทุนทั้งหลายจะได้รับ แนะนำว่าต้องทำความเข้าใจกับประเภทของ Rental Yield ให้อย่างถ่องแท้เสียก่อน เพื่อจะได้เข้าใจความแตกต่างขององค์ประกอบที่คำนวณในแต่ละสูตรดังนี้
1. Gross Rental Yield (อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น)
ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีราคาอสังหาริมทรัพท์ที่ซื้อมา x 100 | ตัวอย่าง : ปล่อยเช่าคอนโดอ่อนนุชที่ซื้อมาในราคา 2,500,000 บาท ในราคาค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท โดยคาดว่าผู้เช่าจะอยู่ในสัญญาเช่าตลอดทั้งปีคือ 12 เดือน หรือ 1 ปี ดังนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับจากการปล่อยเช่าคอนโดตลอดทั้งปีจะเท่ากับ 15,000 x 12 = 180,000 บาท สามารถคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าได้คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า = (180,000 ÷ 2,500,000) x 100 = 7.2% ต่อปี | ข้อแนะนำ :เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินเย็น ไม่ต้องกู้ซื้อ เนื่องจากในสูตรคำนวณไม่ได้นำค่าใช้จ่ายมาคิดเพื่อหาอัตราของ Yield |
2. Net Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ
ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีราคาอสังหาริมทรัพท์ที่ซื้อมา x 100 | ตัวอย่าง : นักลงทุนซื้อคอนโดย่านรัชดาฯ มาในราคา 3,500,000 บาท จากนั้นปล่อยเช่าคอนโดในราคา 20,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน แต่นำมาประมาณการค่าเช่าเพียง 10 เดือนเท่านั้น ดังนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับจากการปล่อยเช่าคอนโดตลอดทั้งปีคือ (20,000 x 10) = 200,000 บาท แต่ขณะเดียวกันนักลงทุนมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายค่าส่วนกลางให้แก่นิติบุคคลทุกเดือน เดือนละ 3,500 จึงคิดค่าใช้จ่ายนี้ตลอดระยะเวลาทั้ง 12 เดือน (3,500 x 12) = 42,000 บาท ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (200,000 – 42,000) = 158,000 บาท Net Rental Yield = (158,000 ÷ 3,500,000) x 100 = 4.51% ต่อปี | ข้อแนะนำ :เหมาะกับนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมาลงทุน แต่ต้องเผชิญรายจ่ายเพิ่มเติม เช่นเดียวกับกรณีตัวอย่าง กับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง |
3. Cash on Cash Rental Yield คือ อัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าจากเงินสดในรอบปี
ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา x 100 | ตัวอย่าง : ลงทุนซื้อคอนโดย่านจตุจักรมาในราคา 4,000,000 บาท จากนั้นปล่อยเช่าคอนโดในราคา 25,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 12 เดือน แต่นำมาประมาณการค่าเช่าเพียง 10 เดือนเท่านั้น ดังนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับจากการปล่อยเช่าคอนโดตลอดทั้งปีคือ (25,000 x 10) เท่ากับ 250,000 บาท แต่ขณะเดียวกันผู้ลงทุนก็มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายค่าส่วนกลางให้แก่นิติบุคคลทุกเดือน เดือนละ 2,500 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้ที่เกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้วจึงคิดค่าใช้จ่ายนี้ตลอดระยะเวลาทั้ง 12 เดือน (2,500 x 12) = 30,000 บาท ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดปีสุทธิ = (250,000 – 30,000) = 220,000 บาท Net Rental Yield = (220,000 ÷ 4,000,000) x 100 = 5.5% ต่อปี | ข้อแนะนำ :เหมาะกับนักลงทุน ที่กู้ซื้อเงินมาเพื่อซื้อคอนโด |
Yield ควรอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าเป็นมิตรต่อการลงทุน
เป็นที่รู้กันดีว่าจำนวนเปอร์เซนต์ของ Yield นั้นยิ่งมาก ย่อมส่งผลดีต่อการลงทุน เนื่องจากนั่นเป็นการบ่งบอกถึงระดับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วในวงการลงทุนอสังหาฯ จะเลือกโครงการที่จะลงทุนต้องมีอัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ที่ 6-8% หรือเรียกง่ายๆ ว่าควรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 2% ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต
ขณะที่ในกลุ่มนักลงทุนอสังหาฯ ที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญกับตลาดปล่อยเช่าคอนโด มักมองระดับผลตอบแทน (Yield) ตั้งแต่ 8% ขึ้นไป เนื่องจากนักลงทุนไม่ต้องควักเงินทุนตัวเอง ในทางกลับกันได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้จะถูกรวมค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้แน่นอนว่าโครงการคอนโดที่มีอัตราผลตอบแทนสูง มักอยู่บนทำเลทอง แน่นอนว่านักลงทุนย่อมเผชิญทั้งคู่แข่งและราคาขายห้องชุดค่อนข้างสูง ด้วยเช่นกัน
ขอขอบคุณที่มา : https://bit.ly/3423E4I